CPF มั่นใจปี 65 ธุรกิจฟื้นตามเศรษฐกิจหลังปี 64 กำไรกระทบโควิด -ต้นทุนพุ่ง

CPF มั่นใจปี 65 ธุรกิจฟื้นตามเศรษฐกิจหลังปี 64 กำไรกระทบโควิด -ต้นทุนพุ่ง

CPF ทำกำไรปี 64 ที่ 13,028 ล้านบาท ลดลงเกือบ 50 % เจอผลกระทบโควิด-ล็อกดาวน์ -ต้นทุนเลี้ยงสัตว์พุ่ง พร้อมปันผลทั้งปี 0.65 บาท/หุ้น คาดปี 65 แรงส่งธุรกิจดีขึ้นตามเศรษฐกิจฟื้นตัว

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2564 มียอดขายรวมอยู่ที่ 512,704 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากปีก่อน เป็นผลจากการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อย เป็นบริษัทร่วมของ Chia Tai Investment Co., Ltd. เมื่อเดือนธันวาคม 2563 หากไม่นับผลกระทบจากการเปลี่ยนสถานะดังกล่าว รายได้จากการขายในปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และมีกำไรสุทธิในปี 2564 ที่ 13,028 ล้านบาท ลดลง 49 % จากปีก่อนที่มีกำไร 26,022 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการระบาดของโรค โดยเฉพาะในประเทศไทยและประเทศเวียดนามที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานของภาคธุรกิจสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ต่ำกว่าปี 2563 มีปัจจัยหลักมาจากระดับราคาสุกรในประเทศเวียดนามและประเทศไทยที่ลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน รวมทั้ง ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลง 5,087 ล้านบาทจากปี 2563 ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมในประเทศจีน แคนาดา และผลการดำเนินงานของ CPALL ที่ลดลง

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวถึง แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 จะดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา จากการคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย ส่งผลให้มีความต้องการบริโภคมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการขาย ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสังคมรูปแบบใหม่ (new normal)

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท โดยเงินปันผลดังกล่าว บริษัทฯ ได้มีการจ่ายครั้งแรกเป็นเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 คงเหลือเป็นเงินปันผลจ่ายครั้งที่สองในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยเป็นการจ่ายจากกำไรส่วนที่หักผลขาดทุนทางภาษี ซึ่งผู้รับเงินปันผลต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร แต่ผู้รับเงินปันผลที่เป็นบุคคลธรรมดาจะไม่ได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business